คุกกี้ที่มีความจำเป็น (Strictly Necessary Cookies) |
เปิดใช้งานตลอด |
คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์และประเมินผลการใช้งาน (Performance Cookies) |
|
ความเป็นมาและความสำคัญ
หลวงพ่อพระทอง(พระผุด) วัดพระทอง(พระผุด) ตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นองค์พระพุทธรูปทองคำ โผล่แต่พียงพระเกตุมาลา อยู่ใต้องค์พระพุทธรูปพระทองครึ่งองค์พุทธศาสนิกชนทั่วไปในจังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และจังหวัดใกล้เคียงมักเรียกท่านว่า "พระผุด", "พระล่อคอ" ประวัติความเป็นมายังไม่มีหลักฐานที่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรที่แน่ซัด เพราะเป็นพระพุทธรูปผุด เพียงพระเกตุมาลาจากพื้นดิน สูงประมาณ ๑ ศอก โดยมีรูปจำลองก่อสวมทับไว้แบบครึ่งองค์ ส่วนคนจีนในจังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และจังหวัดใกล้เคียงเรียกว่า "ภู่ปุ๊ค" หรือ "พู่ฮุก" เพราะเชื่อกันว่าเป็นพระพุทธรูปที่สร้างมาจากเมืองจีน เมื่อถึงเทศกาลตรุษจีนต่างก็พากันมานมัสการหลวงพ่อพระทอง(พระผุด) กันเป็นจำนวนมากจนกลายเป็นประเพณีสืบทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้และยังมีความเชื่อเล่าสืบทอดกันมาว่า หลวงพ่อพระทอง(พระผุด) ที่อยู่ใต้องค์พระพุทธรูปพระทองครึ่งองค์ เป็นพระพุทธรูปที่สร้างด้วยทองคำที่มี ความสวยงามมาก สร้างที่เมืองจีน ครั้นเมื่อชาวธิเบตได้มารุกรานเมืองจีนและได้ชัยชนะได้นำพระพุทธรูป ดังกล่าว ที่มีชื่อว่า "กิมมิ่นจ้อ" ลงเรือมาทางมหาสมุทรอินเดียเพื่อนำกลับไปประเทศธิเบต แต่เรือถูกพายุ พัดเข้ามายังชายฝั่งพังงาและเกิดเรือล่มลง เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปสภาพภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงบริเวณที่ เรือจมกลายเป็นเกาะ ซึ่งก็คือภูเก็ตในปัจจุบันนี้ องค์พระพุทธรูปจมลงใต้พื้นดินโผล่แต่เพียงพระเกตุมาลา อยู่กลางท้องทุ่ง
ตามตำนานที่เล่าสืบทอดกันมาว่าในสมัยก่อนในตอนเช้า เด็กชายชาวนาได้นำกระบือไปเลี้ยงในทุ่งนา แล้วนำเชือกที่ผูกกระบือไว้ไปผูกกระทบสิ่งหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแก่นไม้หรือท่อนไม้ที่มีโคลนตมติดอยู่จากนั้นเด็กชายก็กลับบ้านไป เมื่อไปถึงบ้านก็เป็นลมล้มลงแล้วเสียชีวิต ตอนสายพ่อของเด็กก็ออกไปที่ทุ่งนา พบว่ากระบือก็ตายเช่นกัน พอตกกลางคืนพ่อของเด็กชายก็ฝันว่า สาเหตุที่ลูกชายและกระบือตายเพราะลูกชายนำเชือกกระบือไปผูกไว้กับพระเกตุมาลาของพระพุทธรูปทองคำที่จมอยู่ในดิน รุ่งเช้าจึงได้ชวนชาวบ้านไปดูจุดที่ลูกชายนำเชือกไปผูกลมกระบือไว้ เมื่อแก้เชือกและล้างโคลนตมออกจากจุดที่ผูก เชือกไว้ พบว่ามีลักษณะเหมือนพระเกตุมาลาของพระพุทธรูปที่เป็นทองคำ จึงได้พากันมากราบไหว้บูชา และไปเรียนให้ทนเจ้าเมืองทราบ เมื่อเจ้าเมืองทราบได้ทำการขุด แต่ขุดอย่างไรก็ไม่สามารถเคลื่อนย้าย องค์พระพุทธรูปทองคำออกไปได้ ต่อมามีชีปะขาวท่านหนึ่งและชาวบ้าน กรงว่าจะมีคนร้ายมาลักลอบขุด หรือตัดพระเกตุมาลาของพระพุทธรูปทองคำไป จึงได้นำเปลือกหอยทะเลมาเผา ทำเป็นปูนขาวผสมกับ ทรายมาโบกครอบทับพระเกตุมาลาของพระพุทธรูปทองคำไว้
ต่อมาในสมัยที่เกิดสงครามกับพม่า ในสมัยรัชกาลที่ ๑ พ.ศ. ๒o๒๘ ที่เรียกว่า ศึกถลาง พม่าได้ยกกองทัพมาปิดล้อมเมืองถลางและทราบว่าในทุ่งนามีพระพุทธรูปทองคำแต่สวมทับโบกปิดไว้ด้วยปูนขาว จึงมารื้อปูนขาวออก จนเห็นพระเกตุมาลาของพระพุทธรูปทองคำผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ก็พยายามที่จะขุดองค์หลวงพ่อพระทอง จนสามารถขุดลงไปได้จนถึงพระศอ (คอ) แต่ก็ไม่สามารถขุดลงไปได้ทั้งองค์ เพราะเกิดอุปสรรคต่าง ๆ เป็นที่มหัศจรรย์มากมาย เป็นที่เล่าขานกันสืบมา เช่น มี ต่อ แตน มดคันตัวเล็ก ๆ จำนวนมากออกมารุมกัดทหารพม่าที่กำลังขุดองค์พระ จนทหารพม่าล้มป่วย ตายไปเป็นจำนวนมากไม่สามารถขุด เอาองค์หลวงพ่อไปได้ จนในที่สุดพม่าได้ล่าถอยทัพกลับไป หลังจากนั้นได้มีพระธุดงค์มาพบว่ามีพระผุดโผล่ ขึ้นมาเพียงพระศอ (คอ) และเป็นทองคำ ก็เกรงว่าจะมีคนร้ายมาลักลอบขุดขโมยไป จึงได้ชักชวนชาวบ้าน ก่อองค์พระพุทธรูปปูนขึ้นสวมทับพระผุดที่เป็นทองคำดังกล่าว แต่สร้างเพียงครึ่งองค์ คือตั้งแต่พระอุระ(ก) ขึ้นไปมาสวมทับไว้ ดูคล้ายกับเป็นพระพุทธรูปผุดขึ้นมาจากพื้นดิน และได้มีการสร้างวัดขึ้น โดยมี หลวงพ่อพระทอง (พระผุด) เป็นพระประธานในพระอุโบสถ พระธุดงค์รูปนี้ก็คือเจ้าอาวาสรูปแรกของวัด พระทอง(พระผุด) ภายหลักทราบชื่อพระธุดงค์รูปนี้ซึ่งก็คือหลวงพ่อสิงห์ จากการประทับทรงเมื่อครั้งปลุกเสกหลวงพ่อพระทอง (พระผุด) ในปี พ.ศ.๒๕๑๑ หลังจากสร้างเป็นวัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อสิงห์ได้ ผูกปริศนาขึ้นไว้ประจำวัด ปริศนามีดังนี้ "ยัก ๓ ยัก ๔ หามผีมาเผา ผีไม่ทันเน่า หอมฟุ้งตลบ ผู้ใดคิดสบให้เอาที่กบปากแดง ผู้ใดคิดแจ้งให้เอาจากแร้งล่อคอ" หากท่านเจ้าอาวาสท่านใดไม่เข้าใจในปริศนาที่ผูกไว้ ก็จะอยู่วัดนี้ไม่ได้ จะต้องมีอันเป็นไป หลังจากนั้นวัดพระทองก็มีเจ้าอาวาสอีก ๑๔ รูป แต่ไม่มีเจ้าอาวาส ท่านใดสมารถอยู่ได้เกินหนึ่งพรรษา จนเป็นที่เลื่องลือกันว่าวัดนี้กินสมภาร วัดจึงถูกทิ้งรังกลายเป็นป้าดงขมิ้น หลวงพ่อพระทอง (พระผุด) ก็ถูกทิ้งร้างอยู่กลางป่าคงขมิ้น เช่นกัน เพราะผู้พบเห็นล้วนเห็นว่าเป็น พระพุทธรูปปูนปั้นเพียงครึ่งองค์ แต่เมื่อถึงเทศกาลตรุษจีน ชาวบ้าน ชาวจีนก็ชักชวนกันมาถากถางป่า ทำความสะอาดและเข้ามากราบไหว้ จนในที่สุดประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๔๐ พระครูวิตถารสมณวัตร (ฝรั่ง) อายุ ๒๓ ปี ขณะนั้นอุปสมบทอยู่ที่วัดพระนางสร้างได้ ๓ พรรษา คิดปริศนาของวัดพระทองที่หลวงพ่อสิงห์ผูกไว้ได้ จึงมาจำพรรษาที่วัดพระทอง ต่อมาได้เป็นเจ้าอาวาสวัดพระทอง (พระผุด) รูปที่ ๑๕ ได้ทำการ บูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถใหม่ โดยมีเถ้าแก่ย่าเสียง เป็นโยมอุปถัมภ์ จากนั้นได้ทดลองขุดดินลงไปด้านหลังองค์พระทอง (พระผุด) กว้างประมาณ ๑ เมตร ลึกประมาณ ๒ เมตร เพื่อหาลูกนิมิตพระอุโบสถ หลังเดิมแล้วคิดจะพังดินเข้าไปดูองค์พระทอง แต่เกรงว่าองค์พระทอง(พระผุด) ที่สร้างไว้ครึ่งองค์ด้านบนจะพังลงไปทับองค์พระพุทธรูปทองคำด้านล่างเกิดความเสียหาย จึงมิได้พังดินเข้าไป แต่ได้ใช้เหล็กมาตีเป็นปากจิ้งจก แล้วตอกลงไปที่ฐานองค์พระทอง เพื่อพิสูจน์ว่าองค์พระที่อยู่ใต้องค์พระทอง (พระผุด) เป็นทองคำหรือไม่ เมื่อตอกเหล็กลงไปชนกับของแข็งพยายามตอกจนเหล็กงอจึงดึงเอาเหล็กนั้นออกมา แล้วนำเหล็กนั้นไปให้ช่างทองที่ตัวเมืองภูเก็ตพิสูจน์ดู ช่างทองบอกว่ามีเศษทองดำเนื้อดีติดอยู่ให้นำมาขายได้ พระภารสมณวัตร (ฝรั่ง) จึงรีบกลับมาทำการบูรณะองค์พระทอง(พระผุด) โดยการสร้างองค์พระเพียงครึ่งองค์ เช่นกัน คือตั้งแต่พระอุระขึ้นไปอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ครอบองค์พะครึ่งองค์เดิม โดยเถ้าแก่ย่าเสียง เป็นโยมอุปถัมภ์ ใช้ช่างชาวปีนัง เป็นผู้ดำเนินการสร้าง ใช้ปูนขาวที่ทำมาจากหินภูเขา จากจังหวัดพังงา
ในสมัยที่พระครูสุวรรณพุทธาภิบาล (สุขุม อิสิญาโณ ถิ่นตะเคียน) เป็นเจ้าอาวาสวัดพระทองรูปที่ ๑๖ ได้ทำการขุดรอบ ๆ องค์พระทอง(พระผุด) เพื่อการหาลูกนิมิตพระอุโบสถ พบว่าโดยรอบองค์พระทอง (พระผุด) ห่างจากองค์พระทอง (พระผุด) ด้านละ ๑ เมตร มีอิฐขนาดใหญ่วางเรียงซ้อนกันเป็นกำแพงล้อมรอบองค์พระไว้ แต่มิได้ขุดไปที่องค์พระทอง (พระผุด)
ในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๓๕ - ๒๕๔๐ เป็นการซ่อมบูรณะองค์พระทอง (พระผุด) ในส่วนของงานปูน
บริเวณพระปราง(แก้ม) และพระศก (เส้นผม) และซ่อมปิดทององค์พระทองใหม่ทั้งองค์ ในช่วงที่พระอธิการอำไพ อมทตโต (อำไพ โกมุทผล) เป็นเจ้าอาวาสวัดพระทอง(พระผุด) และนายบัญญัติ จริยเลอพงศ์ เป็นไวยาวัจกร
การสร้างพระพุทธปฏิมาในพระพุทธศาสนา ( ยงยุทธ วรรณโกวิท, การซ่อมบูรณะปิดทองคำเปลวองค์
พระทอง (พระผุด). ๒๕๕๓ : ๙ )
พุทธปฏิมา, พุทธปฏิมากร เป็นคำนาม หมายถึง รูปเหมือนหรือรูปแทนองค์พระพุทธเจ้า คือ
พระพุทธรูป (ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒) การสร้างพุทธเจดีย์หรือ
ถาวรวัตถุ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา สร้างขึ้นโดยมีเจตนาเพื่ออุทิศต่อพระพุทธเจ้า มี ๔ ชนิด คือ
ธาตุเจดีย์ หมายถึง เจดีย์ที่บรรจุพระธาตุ
บริโภคเจดีย์ หมายถึง เจดีย์ที่บรรจุเครื่องบริขารของพระพุทธเจ้า
ธรรมเจดีย์ หมายถึง เจดีย์ที่บรรจุพระธรรมที่มักจารลงบนใบลาน คัมภีร์ที่จารึกพระธรรม เช่น พระไตรปิฎก
อุเทสิกเจดีย์ หมายถึง เจดีย์ที่สร้างอุทิศพระพุทธเจ้า ได้แก่ พระพุทธรูป
ชาวพุทธมีคติความเชื่อเรื่องการปิดทองที่องค์พระในจุดต่างๆ มาตั้งแต่โบราณ กาลมาจนถึงปัจจุบันคือ
๑. ปิดที่พระพักตร์ ทำให้หน้าที่การงาน ชีวิตเจริญรุ่งเรื่อง
๒.ปิดบริเวณพระอุทร(ห้อง) จะอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง
๓.ปิดที่พระนาภี(สะดือ) ตลอดทั้งชีวิตจะไม่รู้จักคำว่าอด สมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สิน
๔.ปิดที่พระเศียร(หัว) จะทำให้สติปัญญาความจำเป็นเลิศ สามารถแก้ไขฟันฝ้าอุปสรรคของชีวิตได้ตลอด
๕. ปิดที่พระอุระ(หน้าอก) ทำให้มีสงราศีเป็นที่ถูกใจของคนทั่วไป
๖.ปิดที่พระหัตถ์( มือ) ทำให้เป็นคนมีอำนาจบารมี
๗. ปิดที่พระบาท(เท้า) สมบูรณ์ด้วยที่พักอาศัย และยวดยานพาหนะ
งานลงรักปิดทองของไทยเราคงมีมาตั้งแต่ไทยได้รับพระพุทธศาสนาจากอินเดีย ดังมีหลักฐานปรากฏที่เขางู จังหวัดราชบุรี พบพระพุทธรูปสมัยทวารวดีปรากฏร่องรอยการปิดทองที่องค์และฐาน ในสมัยสุโขทัยมีหลักฐานพบว่ามีการปิดทองบนลวดลายประดับพระอุโบสถ เจดีย์ พระพุทธรูป และมีการปิดทอง เขียนสีที่เรียกว่าจิตรกรรมฝาผนัง ที่วัดเจดีย์เจ็ดแถว อำเภอศรีสัชนาลัย ที่ซุ้มพระปรางค์วัดพระพายหลวง และองค์พระพุทธชินราช
ภาพที่ ๑ ชื่อส่วนต่างๆ ของพระพุทธรูป
ภาพที่ ๔ สีโป๊วโลหะ
ภาพที่ ๕ วัสดุวิทยาศาสตร์
ภาพที่ ๖ สีรองพื้น ( สีน้ำมัน )
ภาพที่ ๗ สีปิดทอง
ภาพที่ ๘ ยางรัก
๔. ประเภทของทองคำที่นำมาทำแผ่นทองคำเปลว แบ่งเป็น ๒ ชนิด คือ
ทองแดง หมายถึง ทองเปลวที่ทำมาจากแผ่นทองคำที่บริสุทธิ์ ๙๙.๙๙ % หรือช่างตีทองเรียกอีกอย่างว่าทองกิมซัวแผ่นทองที่ตีออกมาแล้วสีเหลืองอร่ามออกแดง
ทองเขียว หมายถึง ทองเปลวที่ทำมาจากแผ่นทองคำที่บริสุทธิ์ ๙๗.๐ % ซึ่งจะมีความบริสุทธิ์น้อยกว่าทองแดงแผ่นทองที่ตีออกมาแล้วสีเหลืองอร่ามออกเขียว
ทองคำเปลว ๑๐๐% ชนิดของทองคำเปลว แบ่งเป็น ๒ แบบ คือ
ทองคัด หมายถึงแผ่นทองคำเปลวที่คัดตามขนาดกำหนดโดยไม่มีรอยต่อของแผ่นทอง ซึ่งทองคัดนี้จะมีราคาค่อนข้างแพง
ทองต่อ หมายถึงแผ่นทองคำเปลวที่มีการตัดต่อแผ่นทองโดยอาจมีการนำแผ่นทองคำเปลวมาต่อกันมากกว่า ๑ แผ่น ซึ่งจะมีราคาถูกกว่าทองคัด
๕. เครื่องมือการทำพื้นปิดทอง
๕.๑ กระดาษทรายสำหรับขัดผิวชิ้นงานให้เรียบร้อยเป็นเนื้อเดียวกับผิวงานนั้น ๆ กระดาษทรายมีด้วยกันหลายเบอร์ เบอร์หยาบ เช่น ๓๐๐ ๖๐๐ ใช้ขัดผิวที่โป๊ว แต่งผิวแล้วให้เรียบพอสมควร ส่วนกระดาษทรายเบอร์ละเอียด เช่น ๙๐๐ ๑๐๐๐ ใช้ขัดผิวชิ้นงานก่อนทาสีรองพื้น
๕.๒ เกรียงสีน้ำมัน (เกรียงผสมสี) ใช้สำหรับคนหรือผสมกาววิทยาศาสตร์ (อีพ้อกซี่) ให้เข้ากันแล้วนำมาโป๊วอุดตามพื้นผิวที่ต้องการให้เรียบ
๕.๓ เกรียงโป๊วใช้คู่กับเกรียงผสมสีน้ำมัน สำหรับผสมกาววิทยาศาสตร์ (อีพ๊อคซี่) ให้เข้ากัน
๕.๔ เครื่องขัดต่าง ๆ เช่น เครื่องขัดที่ใช้ไฟฟ้า เหมาะสำหรับขัดงานที่เป็นพื้นเรียบระนาบเดียวกัน เช่น พื้นโต๊ะ หรือ พระประธานที่มีขนาดใหญ่ จะสามารถเก็บผิวได้เรียบและเร็วกว่าการขัดด้วยมือ
๕.๕ พู่กันกลมและแบน มีหลายขนาด
๕.๕.๑ พู่กันกลม ใช้สำหรับเขียนลายทำสีงานที่มีลักษณะไม่ใหญ่มากมีด้วยกันหลายเบอร์หลายขนาด เลือกใช้ตามลักษณะของงาน
๕.๕.๒ พู่กันแบน ใช้ทำสีงานลักษณะต่าง ๆ และใช้ปิดทองคำเปลว ๑๐๐% ใช้ยีทองในส่วนที่นิ้วกวดไม่ถึง มีด้วยกันหลายเบอร์หลายขนาดเลือกใช้ตามลักษณะงานนั้น ๆ
๕.๖ แปรงใช้สำหรับทาสีงานขนาดใหญ่ ใช้ปัดฝุ่นก่อนทาสีหรือก่อนปฏิบัติงานทุกครั้ง
๕.๗ เครื่องพ่นสี กาพ่น เหมาะสำหรับงานขนาดค่อนข้างใหญ่ ต้องการความเรียบเนียนของพื้นผิวมาก สามารถปฏิบัติงานได้เร็ว
ลักษณะการปิดทองแบบต่าง ๆ การปิดทองมีด้วยกันหลายวิธี เช่น
๑. การปิดทองบนพื้นเรียบ คือ การปิดทองบนชิ้นงานมีพื้นเรียบเสมอกันทั้งชิ้นงาน เช่น การปิดทองลายรดน้ำ การปิดทองลายฉลุ หรือการปิดทองทึบ โดยไม่มีลวดลายบนชิ้นงาน
๒. การปิดทองแบบนูนต่ำหรือนูนสูง คือ การปิดทองลงบนชิ้นงานที่มีความสูงจากพื้น โดยมองเห็นด้านหน้าและความหนาของชิ้นงาน เช่น งานแกะสลัก ลวดลายประกอบบนชิ้นงานต่าง ๆ กรสลักดุนโลหะการปั้นลายประดับลงบนชิ้นงานต่าง ๆ
๓. การปิดทองแบบลอยตัว คือการปิดทองบนชิ้นงานที่สามารถมองงานได้รอบตัวทั้งด้านหน้าด้านข้าง ความสูง ด้านหลัง มองได้รอบทุกทิศทาง เช่น การปิดทององค์พระพุทธรูป การปิดทองภาพจับเทพเทวดาต่างๆ การปิดทองสัตว์หิมพานต์
การดูแลรักษาเครื่องมือทำพื้นปิดทอง
๑.พู่กัน หลังจากใช้งานเรียบร้อยแล้ว ควรนำมาเช็ดด้วยเศษผ้าก่อน ที่จะล้างด้วยน้ำมันสน เพราะจะทำให้น้ำมันสนขุ่นสิ้นเปลือง ล้างด้วยน้ำมันสน ๒ ครั้ง เพื่อให้สีที่ติดอยู่ในพู่กันหลุดออกมากที่สุดแล้วนำมาล้างด้วยน้ำยาล้างจานโดยใช้นิ้วมือขยี้ที่ขนพู่กันเบา ๆ สีที่ติดอยู่จะได้หลุดออกได้หมด ล้างด้วยน้ำยาล้างจาน ๒ รอบ ผึ่งลมให้แห้ง ไม่ควรล้างพู่กันด้วยทินเนอร์ เพราะจะทำให้ขนพู่กันเสียเร็วขึ้น
๒. แปรงขัดฝุ่น หลังจากใช้ควรเคาะฝุ่นที่เกาะอยู่บนแปรงออกให้หมด เพราะถ้าเคาะฝุ่นออกไม่หมด เวลาปัดฝุ่นครั้งต่อไปอาจเกิดปัญหาฝุ่นที่แปรงเกาะที่ชิ้นงานใหม่ อาจมีปัญหาทำให้สีไม่แห้งได้
๓. เครื่องชัดหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ หลังจากการใช้งานควรปัดฝุ่นทำความสะอาดทุกครั้งเพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ยาวนานขึ้น
บุคลากรที่เป็นช่างฝีมือทางด้านงานช่างปิดทอง
งานช่างปิดทองเป็นงานที่ทำให้คุณค่าของงานนั้นๆ เพิ่มและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะเป็นงานที่ต้องการใช้ช่างฝีมือที่มีความชำนาญตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสมกับงาน การคัดเลือกคุณภาพของทองคำเปลว ๑๐0% ให้เหมาะสมกับงานนั้นๆ เช่น ก่อนการทำพื้นปิดทองของงานแต่ละประเภทก็จะใช้ขั้นตอนการทำงานที่แตกต่างกัน ฉะนั้นบุคคลากรในกลุ่มงานช่างปิดทอง จึงจำเป็นต้องมีความสามารถเข้าใจการทำงานแต่ละขั้นตอนได้อย่างถูกต้อง และยังเป็นงานขั้นตอนสุดท้ายของงานแต่ละประเภท เช่น เมื่อแกะสลักงานเรียบร้อยแล้วก็ต้องนำมาทำพื้นปิดทอง สมควรที่จะช่วยกันดำรงงานช่างปิดทองให้คงอยู่สืบต่อไป
๑. ส่วนชำรุดบริเวณพระพักตร์ค่อนข้างมากเกิดจากดินที่เปื่อยผุพังตามกาลเวลา
๒. องค์พระมีฐานล่างติดกับพื้นดินจึงเกิดความชื้นได้ตลอดเวลา
๓. ระยะเวลาในการปฏิบัติงานน้อย
๔. วัสดุอุปกรณ์บางอย่างไม่มีในท้องถิ่นนั้นๆ
ในการซ่อมบูรณะปิดทองคำเปลวองค์พระทอง(พระผุด) ระหว่างเดือน พฤษภาคม - กันยายน ๒๕๕๓ วัดพระทอง ตำบลเทพกษัตรี อำเภอถลาง จัดหวัดภูเก็ต ได้มีการดำเนินงานตั้งแต่ การเดินทางไปสำรวจ, ประมาณการ, เตรียมวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อม ระยะเวลาการซ่อมจนแล้วเสร็จใช้ระยะเวลาประมาณ ๕ เดือน
ภาพที่ ๑๐ การลอกผิวทององค์พระที่ชำรุดเสียหาย
๔. ขัดแต่งผิวในส่วนที่สมบูรณ์ขององค์พระบริเวณด้านหลัง ให้เรียบเนียนยิ่งขึ้น
ภาพที่ ๑๒ การลอกสีขัดแต่งเม็ดพระศก
ภาพที่ ๑๓ ทาสีโป๊วปูน
๓. ขัดแต่งผิวองค์พระบริเวณด้านหลังให้เรียบเนียนยิ่งขึ้นด้วยกระดาษทรายเบอร์ ๓๐๐-๖๐๐ ซึ่ง เป็นกระดาษทรายเนื้อหยาบ ใช้สำหรับขัดแต่งในส่วนที่มีการโป๊วเสริมให้มีความหนา ขัดลบมุมเหลี่ยมบริเวณผิวให้ดูกลมกลืน จากนั้นใช้กระดาษทรายเบอร์ ๙๐๐-๑๐๐๐ ซึ่งเป็น กระดาษทรายเนื้อละเอียด ขัดให้ดูเรียบเนียนยิ่งขึ้นโดยใช้มือลูบพื้นผิวแล้วไม่สะดุด บริเวณเม็ดพระศกด้านหลัง ขัดแต่งค่อนข้างอยากเพราะเม็ดพระศกมีขนาดเล็กและติดกัน ต้องขัดอย่างระมัดระวังไม่ให้เม็ดพระศกชำรุดหลุดออกมาเพิ่ม
ภาพที่ ๑๔ ขัดแต่งผิวองค์พระที่ทาด้วยสีโป๊วปูนให้เรียบร้อย
๔. ทิ้งเวลาให้สีโป๊วปูนแห้งสนิท ประมาณ ๑ สัปดาห์ สังเกตดูพื้นผิวมีรอยแตกร้าวหรือไม่ เพราะองค์พระทองเป็นองค์ที่ส่วนฐาน (ครึ่งองค์) ติดกับพื้น ไม่สมารถทราบได้ว่าจะมีความชื้นมากหรือน้อย และผิวที่โป๊วปูนเสริมบริเวณส่วนต่างๆ อาจการยุบตัวทำให้มีรอยแตกร้าวได้ จึงควรทิ้งให้ปูนยุตัวและแห้งสนิทจริงๆ แล้วจึงดำเนินการในขั้นตอนต่อไป ถ้าเกิดรอยแตกร้าวแก้ไขโดยขัดเบาๆให้รอยแตกร้าวหายไป
๕. เมื่อสีโป๊วปูนแห้งสนิทแล้วใช้กระดาษทรายเบอร์ละเอียดประมาณ ๘๐๐ -๑๐๐๐ มาขัดลูบเบาๆ บริเวณด้านหลังขององค์พระทั้งหมด ในส่วนของเม็ดพระศกต้องใช้กระดาษทรายเบอร์ ๙๐๐ - ๑๐๐๐ ตัดและพับเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อให้เก็บรายละเอียดของเม็ดพระศกได้ ระวังอย่าขัดแรงอาจทำให้เม็ดพระศกเบี้ยวหรือแหว่งได้ เมื่อขัดเรียบร้อยแล้วใช้แปรงปัดฝุ่น หรือใช้เครื่องเป่าฝุ่นออกให้หมด
ภาพที่ ๑๕ โป๊วปูนที่ขัดแต่งเรียบร้อยแล้ว
๖. เตรียมสีตราพัดสีแดงคนให้เข้ากัน แบ่งใส่ภาชนะที่เตรียมไว้เติมน้ำมันผสมสีตราพัด แล้วคนให้ เข้ากันอีกครั้ง เนื้อสีที่ได้มีลักษณะใสนิดหน่อย ในอัตราส่วนสี ๑ ส่วนต่อน้ำมันผสมสี ๓ ส่วน คนให้เข้ากัน เทลงในกาพนสี พ่นบริเวณที่เป็นพื้นที่ใหญ่ เช่น แผ่นหลังขององค์พระ ทิ้งให้แห้ง ที่ต้องใช้เครื่องพ่นสีในพื้นที่ใหญ่ๆ เพราะช่วยทำให้ผิวไม่เป็นรอยแปรง และมีความเรียบเนียน ส่วนเม็ดพระศกนำสีตราพัดสีแดงผสมน้ำมันผสมสีนิดหน่อยคนให้เข้ากัน แล้วใช้พู่กันกลม เบอร์ ๑๒ พู่กันกลมเบอร์ ๑๖ ค่อยๆ ทาบริเวณเม็ดพระศกพยายามทาไม่ให้สีกองเพราะจะทำ ให้สีแห้งแต่ด้านบนด้านในจะแห้งไม่สนิท แล้วยังมีผลในการปิดทองจะทำให้ผิวย่นไม่สวยงาม หาให้ทั่วบริเวณเม็ดพระศก ทิ้งให้แห้งสนิทแล้วทาใหม่ครั้งต่อไป พ่นและทาประมาณ ๓ รอบ ครั้งสุดท้ายทิ้งให้แห้งสนิทประมาณ ๓ วัน
ภาพที่ ๑๖ องค์พระทอง ( พระผุด ) ที่พ่นสีแดงแล้ว
ภาพที่ ๑๗ ทาสีปิดทอง
ภาพที่ ๑๘ องค์พระทอง ( พระผุด ) ที่ปิดทองเรียบร้อยแล้ว
ภาพที่ ๑๙ องค์พระทอง ( พระผุด ) ด้านหลัง
ภาพที่ ๒๐ องค์พระทอง ( พระผุด ) ด้านหน้า