ด้วยกรมศิลปากรได้รับหนังสือ ขอความอนุเคราะห์จากเทวสถาน ส าหรับพระนคร( โบสถ์พราหมณ์ ) เนื่องด้วยการเตรียมงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจะต้องมีพิธีพราหมณ์ คือพิธีบูชาไฟ ซึ่งจะต้องใช้เตากูณฑ์ใน การประกอบพิธีฯ จึงขอความอนุเคราะห์เจ้าหน้าที่ที่เคยดูแลซ่อมแซมนพศูลมฑปพระศิวลิงค์ มาช่วยซ่อมผิวเตา กูณฑ์ และขอให้ตรวจสอบเตาเพื่อเก็บความรู้เกี่ยวกับโลหะ และซ่อมสีผิวเตากูณฑ์ และปิดทองเส้นขอบเตากูณฑ์ ณ เทวสถาน สำหรับพระนคร
( โบสถ์พราหมณ์ )
ประวัติความเป็นมา
พิธีโหมกูณฑ์ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ
พิธีโหมกูณฑ์ ทำในการพระราชพิธีจองเปรียง พระราชพิธีสัมพัจฉรฉินทร์ และในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช (ต่อมาในรัชกาลที่ ๔ งดการปฏิบัติในพระราชจองเปรียงไป) ตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ ลงมาจึงทำแต่ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช หรือในปัจจุบันนี้ เมื่อมีสมโภชในในการเฉลิมพระชนมพรรษาที่สำคัญ และมีการถวายใบสมิทธิทรงปัดพระองค์ ก็ต้องมีโหมกูณฑ์เผาใบสมิทธนี้ด้วย
ในต้นกรุงปลูกโรงพิธีที่ลานหน้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในรัชกาลที่ ๔ โปรดให้สร้างโรงพิธีเป็นฝาก่ออิฐถือปูนหลังคามุงกระเบื้องเคลือบขาวมีช่อฟ้าใบระกา พระราชทานชื่อ "หอเวทวิทยาคม" ในรัชกาลที่ ๕ ย้ายมาจากหน้าพระที่นั่งดุสิตฯ มาปลูกอยู่ที่มุมโรงกษาปณ์เก่า ( ต่อมาเป็นพิพิธภัณฑ์วัดพระศรีฯ ในปัจจุบันนี้ )
โรงพระราชพิธีมีคร่าวไม้ติดเสาถึงกันทุกเสา ตามตำราพราหมณ์เรียกว่า "พรหมโองการ" แล้วจึงพาดผ้าโตรทวาร ในโรงพระราชพิธีตั้งเตียง ๓ เตียง ลดเป็นลำดับลงมาอย่างตั้งเทวรูปของพราหมณ์ ๑.ชั้นบนสุด ตั้งพรอิศวร พระนารายณ์ พระมหาพิฆเณศวร พระอิศวรทรงโค และพระอุมา ๒.ชั้นกลาง ตั้งเทวรูปนพเคราะห์ ๓.ชั้นล่าง ตั้งเบญจคัพย์ กลศ สังข์
เตาสำหรับโหมกูณฑ์นี้ เป็นเตาทองแดง เป็นของอยู่ในพระคลังในซ้าย
(ในรูปคือที่เป็นสี่เหลี่ยมซ้อนชั้นทางขวามือ)
ธรรมเนียมการโหมกูณฑ์ คือ การทำน้ำมนต์ในหม้อข้าว ได้แบบอย่างมาจากอินเดีย (ขอพราหมณ์อินเดีย คือ หม้อทองเหลืองที่ใช้หุงข้าวและตักน้ำในเดือนสาม / ของพระสงฆ์ คือ บาตร)
หม้อกุมภ์ (ด้านซ้ายภาพ) คือหม้อดินสำหรับหุงข้าวธรรมดา ๙ ใบ ตั้งกลางใบหนึ่ง ล้อมรอบด้วยอีก ๘ ใบ ในหม้อกุมภ์มีเงินเฟื้องทุกหม้อ หม้อกุมภ์ทั้ง ๙ นี้ เมื่อเสร็จพิธี จะเก็บน้ำมนต์ในหม้อกลางไว้ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันทรงเครื่องใหญ่และใช้ในการพระราชพิธีต่างๆ อีก ๘ หม้อจะแจกกันไปตามเจ้ากรม/ปลัดกรม ไว้สำหรับถวายสรงเจ้านายหรือรดน้ำในพิธีต่างๆ
สิ่งสำคัญคือ "ใบสมิทธิ" หรือ "ใบสมมิทธิ" เป็นช่อใบไม้มัดรวม (ในพานทางขวาของเทวรูป) เดิมประกอบด้วย ใบรัก ใบมะม่วง ใบตะขบ ใบยอ ใบขนุน ใบมะเดื่อ ใบเงิน ใบทอง ใบเฉียงพร้านางแอ ใบมะผู้ ใบระงับ ใบพันงู อย่างละ ๕๐ ใบ พร้อมด้วยมะกรูด ๑๕ ผล ส้มป่อย ๑๕ ฝัก
ในรัชกาลที่ ๕ โปรดให้ใช้เพียงสามอย่างคือ ๑.ใบตะขบ ๙๖ ใบ แทน ฉันวุติโรค ๙๖ ๒.ใบทอง ๓๒ ใบ แทน เทวดึงสกรรมกรณ ๓๒ ๓.ใบมะม่วง ๒๕ ใบ แทน ปัญจสมหาภัย ๒๕ ประการ
ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช พราหมณ์จะถวายใบสมิทธิเพื่อทรงปัดพระองค์ในเวลาหลังพระสงฆ์สวดมนต์เย็น แล้วจึงนำกลับมาทำพิธีโหมกูณฑ์ในโรงพิธี
การเผาใบสมิทธิหรือการโหมกูณฑ์นี้ จะใช้ฟืนที่ทำจากไม้พุทรายาวดุ้นละ ๙ นิ้ว มัดละ ๙ ดุ้น วันละ ๒๐ มัด ซึ่งในเตากูณฑ์นั้นจะมีดินและมูลโครองอยู่ข้างใน เมื่อพราหมณ์อ่านเวทติดเพลิง จะเอาใบสมิทธินั้นชุบน้ำผึ้งรวงและน้ำมันดิบเผาลงในเตากูณฑ์ เมื่อเผาเสร็จแล้วจะยังไม่ดับไฟในเตากูณฑ์
ในเตากูณฑ์นอกจากดินและมูลโคแล้วยังมีเต่าทอง ทำด้วยทองคำหนักสองสลึงเฟื้อง ซึ่งจะตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่พราหมณ์ผู้ทำพิธี (พร้อมของหลวงที่พระราชทานมาเพื่อประกอบพิธี เช่น ผ้าขาว หม้อข้าว หม้อน้ำมนต์ ข้าวสาร ข้าวเปลือก มะพร้าว นม เนย รวมทั้งเงินพระราชทาน)
จนเมื่อการพระราชพิธีทั้งหมดเสร็จสิ้นลง พราหมณ์จึงจะดับกองกูณฑ์ด้วยการอ่านเวทดับกูณฑ์ด้วยน้ำสังข์
ข้อมูลดีๆและประวัติ จาก เทวสถาน สำหรับพระนคร( โบสถ์พราหมณ์ )