คุกกี้ที่มีความจำเป็น (Strictly Necessary Cookies) |
เปิดใช้งานตลอด |
คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์และประเมินผลการใช้งาน (Performance Cookies) |
|
นภศูล สมัยอยุธยา นภศูลปรางค์ทั่วๆ ไป และนภศูลปรางค์สมัยรัตนโกสินทร์ เครื่องประดับส่วนยอดของสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งพบเห็นกันอยู่ทั่วไปทั้งที่ส่วนยอดของปรางค์ ตามวัดในพุทธศาสนา หรือส่วนยอดของอาคารปราสาท มหาปราสาทที่มีเครื่องยอดทรงปรางค์ เครื่องประดับนี้ พจนานุกรมฉบับต่างๆ รวมทั้งข้อเขียน บทความ หนังสือ ตำราเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมไทย จะเรียกกันทั้งนภศูลและนพศูล และยังให้ความหมายของกิ่งซึ่งเป็นส่วนประกอบว่าเป็นนภศูลและนพศูลด้วย ซึ่งชื่อที่เรียกต่างๆ นี้ จะแยกแยะว่าควรจะเรียกว่าอย่างใดในภายหลัง
เครื่องประดับนี้จะมีรูปร่างและรูปแบบแตกต่างกัน ส่วนยอดของปราสาทหรือปรางค์ขอมนั้นทั้งที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยและทั้งที่อยู่ในประเทศเขมรปัจจุบัน จะไม่ปรากฏเครื่องประดับยอดปรางค์นี้อยู่ที่ส่วนยอดเลย นอกจากผู้เขียนพบจอมโมฬีหรือบัวกลุ่ม ซึ่งเป็นองค์ประกอบส่วนยอดบนสุด มีรูสำหรับเสียบเครื่องประดับ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๕ เซนติเมตร จอมโมฬีนี้พังทลายหล่นลงมาอยู่บนพื้นดินในจังหวัดบุรีรัมย์ นอกจากนี้ยังพบหลักฐานที่ลายหน้าบันสลักด้วยหินที่มุขของปราสาทด้านทิศตะวันตก ของปราสาทประธาน ปราสาทเขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ แต่ก็มีรูปแบบเป็นตรีศูล หรือศาสตราของพระอิศวรเท่านั้น
สำหรับประเทศไทย ยังมีเครื่องประดับยอดปรางค์ทั้งที่อยู่บนยอดของปรางค์ ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับองค์ปรางค์ที่รอการบูรณะหรือตั้งแสดงอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ของทางราชการ ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะเครื่องประดับยอดปรางค์ของปรางค์ไทย ที่ยังเรียกชื่อและให้นิยามความหมายที่ยังสับสนกันอยู่เท่านั้น
โดยจะรวบรวมความหมายต่างๆ จากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ และพจนานุกรม ฉบับมติชน พิมพ์ครั้งแรก ๒๕๔๗ มาเทียบเคียงเพื่อความกระจ่างต่อไป (ดูตาราง)
สำหรับเครื่องประดับยอดปรางค์ของประเทศไทย จะเป็นเครื่องโลหะปลายแหลมต่อด้วยแกนกลางเป็นลำยาว เสียบอยู่ที่ยอดปรางค์ต่อจากจอมโมฬีหรือบัวกลุ่ม ตลอดลำที่ยอดเป็นศูล คือหลาว รวมเรียกว่าลำภุขัน ลำ หรือด้ามของอาวุธ มีปลายลำเป็นหลาวมิใช่หอก พอสรุปได้ว่าสิ่งประดับยอดปรางค์ คือแกนกลาง เป็นลำของอาวุธ คือลำภุขัน มีกิ่งจำนวน ๓ ชั้น แต่ละชั้นมีสาขาออกไป ๔ ทิศ ๓ ชั้นรวมเป็น ๑๒ สาขา รวมหลาวซึ่งเป็นแกนกลางอีก ๑ รวมเป็น ๑๓ และโดยเฉพาะจะชี้ขึ้นไปบนฟ้า คือนภ หรือนภา เครื่องประดับยอดปรางค์จึงสมควรเรียกว่านภศูลเท่านั้น ส่วนคำว่านพศูล มีผู้อธิบายว่ามีกิ่งจำนวน ๒ ชั้น รวม ๘ กิ่ง และเมื่อรวมกับหลาวอีก ๑ ก็จะเป็น ๙ ตรงกับคำว่านพ แต่เท่าที่พบปรางค์ต่างๆ ที่อยู่ในประเทศไทยจะพบว่ามีกิ่งจำนวน ๓ ชั้น ๑๒ กิ่งเท่านั้น ไม่พบว่ามีกิ่งหรือสาขาจำนวน ๒ ชั้น ๘ กิ่ง
ฝักเพกา-ฝักลิ้นฟ้า เพกา น. ชื่อไม้ต้นชนิด Oroxylumindicum (L.) Kurz ในวงศ์ Bignoniaceaeฝักแบนยาวใหญ่มาก ฝักอ่อนทำให้สุกแล้วกินได้ เมล็ดใช้ทำยาได้ ช่างไทยเอาคำว่าฝักเพกามาเป็นชื่อกิ่งชนิดหนึ่งของนภศูล
จากพจนานุกรมทั้ง ๒ เล่ม อธิบายยอดกลางว่าเป็นหอก ก็ขัดกับคำอธิบายว่าศูล ที่หมายถึงหลาว ส่วนคำว่า แง่งขิง ฝักเพกา ลำภุขัน และสลัดได ที่นิยามความหมายทั้งหมดว่า เครื่องประดับยอดปรางค์นั้นไม่น่าจะถูกต้อง ความหมายของคำดังกล่าวทั้งหมด ต้องหมายถึงรูปแบบของกิ่งหรือสาขาของแต่ละสมัยของสถาปัตยกรรม หรือของแต่ละพื้นถิ่น
ความหมายของทุกคำที่นิยามไว้ว่ามีกิ่งเป็นรูปดาบนั้นถูกต้องเฉพาะกิ่งของนภศูลสมัยรัตนโกสินทร์เท่านั้น เช่น นภศูลที่ยอดปรางค์ของวัดอรุณราชวราราม นภศูลของเครื่องยอดของปราสาททรงปรางค์ของปราสาทพระเทพบิดร หรือพุทธปรางค์ปราสาทในพระบรมมหาราชวัง นภศูลของปรางค์ วัดราชบูรณะและนภศูลของศาลหลักเมือง กรุงเทพมหานคร
นภศูลโดยทั่วไปโดยเฉพาะปรางค์สมัยอยุธยา กิ่งจะไม่เป็นรูปดาบ แต่จะเป็นรูปฝักเพกา อันเป็นฝักของต้นไม้ ฝักมีขนาดใหญ่ ฝักอ่อนกินได้ ผู้เขียนพบที่อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ชาวอีสานจะเรียกต้นเพกานี้ว่าลิ้นฟ้า คงเห็นว่าฝักแบนใหญ่ ปลายฝักคล้ายลิ้น ต้นมีความสูงเสียดฟ้า ส่วนคำว่าลำภุขัน หมายถึงอาวุธชนิดหนึ่ง มีด้ามเป็นลำยาว ปลายสุดเป็นหลาว มิได้หมายถึงนภศูลทั้งอัน ส่วนกิ่งที่เป็นรูปฝักเพกา เป็นลักษณะกิ่งของนภศูลสมัยอยุธยา เช่น นภศูลของปรางค์วัดพระราม ปรางค์วัดกษัตราธิราช ปรางค์วัดศาลาปูน และปรางค์วัดพุทไธศวรรย์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
นภศูล ชนิดแง่งขิง, สลัดได ปรางค์วัดมหาธาตุ สุพรรณบุรี
นภศูลที่มีกิ่งเป็นแง่งขิง หรือสลัดไดที่มีรูปแบบคล้ายกันนั้น พบที่วัดมหาธาตุ จังหวัดสุพรรณบุรี
ผู้เขียนพบขณะที่ทางวัดนำลงมาตั้งใกล้ๆ กับองค์ปรางค์ รอที่จะนำขึ้นไปติดตั้งเมื่อบูรณะเสร็จ ปัจจุบันนำขึ้นไปติดตั้งเหนือจอมโมฬีแล้ว
นภศูล น. เครื่องประดับยอดปรางค์ยอดพุ่งตรงขึ้นไปบนท้องฟ้ายอดกลางเป็นหลาวมีกิ่ง๓ชั้นแตกสาขาออกไป๔ทิศมีรูปแบบต่างๆเช่นฝักเพกาแง่งขิงสลัดไดและดาบ
ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ สิงหาคม 2555
ผู้เขียน รศ. สมใจ นิ่มเล็ก, ราชบัณฑิต
เผยแพร่ วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ.2560
ในการทำงานครั้งนี้ เนื่องจากการปฏิบัติงาน ในที่โล่งแจ้ง สูง และมีความร้อนมาก จึงต้องเปลี่ยนเวลาทำงาน ในบางช่วง มาเป็นตอนกลางคืนแทน การทำงานตอนกลางวัน
เช่นการทารักน้ำเกลี้ยง ในแต่ละชั้น เพราะถ้าทากลางวัน อากาศร้อนมาก จะทำให้รักไม่แห้ง และไหลย้อยตลอดเวลา เป็นอุปสรรคต่อการทำงานมากทางหัวหน้าทีมงาน ก็เลยเปลี่ยนวิธีการทำงาน โดยทำในเวลากลางคืน
เวลากลางคืน จะมีอากาศที่เย็นลง เพราะถ้ารักได้สัมผัสกับอากาศเย็นก็จะแห้งเร็วขึ้น จึงเป็นการแก้ปัญหา ในหน้างาน และการปิดทอง ก็ต้องปิดในเวลากลางคืน เพราะต้องทารักน้ำเกลี้ยง ครั้งสุดท้าย ทิ้งเอาไว้ แล้วก็ปิดในช่วงกลางคืน เพราะถ้าปิดทองตอนกลางวัน แดดแรง ลมแรงอาจจะทำให้งานเสียหายได้
ความรู้เหล่านี้ ต้องขอขอบคุณ นายช่าง อาวุโส ประวิทย์ สุขอุบล ที่ให้คำแนะนำ ใน การ แก้ปัญหา ต่างๆ
เนื่องด้วยในวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ๒๕๕๘ เทวสถาน สำหรับพระนคร โบสถ์พราหมณ์ ได้พบ กิ่งนภศูล บนเทวาลัย พระศิวลึงค์ หักตกลงมาด้านล่าง
จึงเรียนปรึกษา ขอเจ้าหน้าที่ ช่างมาดำเนินการซ่อมแซม เชื่อมทองเหลือง และ ปิดทองใหม่ทั้งองค์
-รักน้ำเกลี้ยง
- ผงดินเผาบดละเอียด
- ดินสอพองบดละเอียด
- เกรียงขนาดใหญ่
- แผ่น กระดานผสมสมุกแปรงทารัก
-น้ำมันสน
-ถังใส่รัก ผ้ากรองรัก
ยางรักเป็นของที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจึงมีความคงทน ทนแดดทนฝน ถาวรดีกว่า ของที่เกิดขึ้นจากการสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ แต่รักมีขั้นตอนการทำที่ยากต้องเข้าใจ คนที่แพ้รักจะมีอาการคันมากๆเป็นผื่นคันแต่ก็มีทางแก้อยู่หลาวิธีอยู่ที่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
การตรวจสอบคุณสมบัติของรักก็เพราะว่า สวนมากพ่อค้าจะนำน้ำมันมาผสมลงในรักแท้ๆเพื่อให้ได้ปริมาณทีมากขึ้น เมื่อเรานำมาใช้จะเกิดปัญหาคือการแห้งช้ามาก หรือบางที่ก็ไม่แห้งเลยก็มีอยู่ขั้นตอนแรกเลยเราต้องดมกลิ่นในรักให้รู้ว่ามีน้ำมันอะไรบ้าง เช่น น้ำมันดิน น้ำมันยาง น้ำมันสน ฯลฯ
ถ้ารักผสมน้ำมันยางจะไม่แห้ง รักไม่ดี ถ้ารักผสมน้ำมันวานิชจะแห้งเร็วผิดปกติ จะทำให้กรอบ รักไม่ดี ถ้ารักแท้จะใช้เวลาแห้ง ๒-๕ วัน
ครั้งที่สอง
ดินเผาน้อยลง ดินสอพอง ชัน คลุกให้เข้ากันดีแล้วผสมรักน้ำเกลี้ยงให้มากขึ้น ให้เหลว พอประมาณ แล้วนำไปทาทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ หนึ่งวัน
ครั้งที่สาม
ดินสอพอง ชัน คลุกให้เข้ากันดีแล้วผสมรักน้ำเกลี้ยงให้มากขึ้นผสมให้เข้ากันให้มีความเหลว แล้วนำไปทาทิ้งไว้ให้แห้งประมาณหนึ่งวัน
วิธีการผสมรักสมุก
ลงพื้นสมุกชั้นแรก
ควรทาให้บางที่สุด ที่ใช้นิ้วมือในการทานั้นเหตุเพราะสมุก นั้นมีความหนืด และเหนียวมาก ถ้าใช้แปรงหรือภู่กันในการทาจะทำให้ขนของแปรงหรือภู่กันนั้นหลุด และติดในชิ้นงานได้ ทำให้เสียเวลาในการที่จะต้องมานั่งเอาออก เพราะฉะนั้นมือนี่แหละเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
-พื้นสมุกควรลงประมาณสามครั้ง ไล่ตั้งแต่การ
-ผสมสมุกแบบหยาบเพื่อสร้างพื้นผิวในการเกาะคือใส่ดินหยาบมากหน่อย
-ผสมสมุกแบบกลาง ใส่ทุกอย่างในปริมาณที่เท่าๆกัน
-ผสมสมุกแบบละเอียด ดินสอพองกับรัก ผงชันนิดหน่อย ดินหยาบไม่ใส่เลย
โดยใช้แปรงทารัก ทาไม่ต้องหนามาก ขยี้รักให้ทั่วแล้วปาดทั้งแนวตั้งและแนวนอน ทำให้เรียบเสมอกันทิ้งไว้ให้แห้งประมาณหนึ่งถึงสองวัน ในชั้นแรกๆของรักน้ำเกลี้ยง นั้นจะค่อนข้างแข้งเร็วเพราะพื้นของสมุกจะดูดซับน้ำมันไปเก็บไว้ภายใต้สมุกชั้นล่าง
ในการทารักน้ำเกลี้ยงในการทารักน้ำเกลี้ยง ครั้งที่ 2 ควรสำรวจดูโดยการใช้หลังมือแตะเบาๆ ว่ารักน้ำเกลี้ยงชั้นที่ 1 แห้งหรือยัง ถ้าแห้งจะไม่ติดมือ ก็ให้ทา รักน้ำเกลี้ยงในครั้งที่ 2 ได้เลย ทิ้งไว้ประมาณ 3-4 วัน เพราะชั้นที่ 2 จะแห้งช้า กว่าการทาครั้งแรก ประมาณ 1-2 วัน ทุกครั้งในการที่จะทารักน้ำเกลี้ยง ให้สำรวจดู ว่ารักแห้งหรือเปล่า
ในแต่ละชั้นควรรอให้แห้งสนิท เพราะไม่นั้นจะเกิดปัญหาภายหลัง ทำแบบนี้ จนกว่าพื้นของงานจะดูอิ่ม แล้วจึงลงมือ ใช้กระดาษทรายน้ำ รูปเบาๆ เพื่อเก็บร่องรอยของพื้นผิว ให้เรียบอีกครั้ง
เมือขัดพื้นรักน้ำเกลี้ยงดีแล้ว นำรักน้ำเกลี้ยงมาทาเหมือนเดิมโดยใช้แปรงทา ทาไม่ต้องหนามากขยี้รักให้ทั่วแล้วปาดทั้งแนวตั้งและแนวนอนทำให้เรียบเสมอกันทิ้งไว้ให้แห้งประมาณหนึ่งวันก็ปิดทองคำเปลว